เทศน์พระ

เกิดดี

๗ ก.ค. ๒๕๕๒

 

เกิดดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ พรุ่งนี้เข้าพรรษา การเข้าพรรษามันมีหลายวัด ถ้าวัดเดียวก็ไม่ต้องพูด ถ้ามีหลายวัดนะ ถ้าทางนี้ถ้าสถานที่มันถือธุดงค์ไม่ได้ มันก็ไม่ต้องถือ ถ้าถือธุดงค์ได้ก็ถือธุดงค์

คำว่าถือธุดงค์เห็นไหม ตั้งสัจจะว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปวันเข้าพรรษาต้องอธิษฐานพรรษา การอธิษฐานพรรษาว่า ๓ เดือนเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ภายใน ๓ เดือนนี้ เว้นไว้แต่พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย ครูบาอาจารย์เจ็บไข้ได้ป่วย ในวัดในวามีปัญหาเห็นไหม สัตตาหกรณียะ คือสัตตาหะได้ ๗ วัน สิ่งนี้เป็นธรรมวินัย

ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วเห็นไหม เราเป็นภิกษุ เราเป็นสงฆ์ มันต้องมีธรรมและวินัยเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นศาสดาของเรา ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรากระทบซึ่งธรรมเห็นไหม

เราบวชมาเป็นโชคลาภวาสนามากนะ เราเป็นพระเป็นเจ้ามีอำนาจวาสนามาก มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร ดูสิ...ดูญาติโยมสิ คฤหัสถ์ ฆราวาสเขา เวลาอยู่ในโลกมันร้อน ทุกอย่างมันร้อนเห็นไหม

พระยสะมีปราสาท ๓ หลังเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” ในโลกฆราวาสเป็นอย่างนั้นนะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ใครจะมีความเห็นอย่างไรมันเรื่องของเขา ถ้าคำว่าเรื่องของเขานะ คำว่าเรื่องของเขาคือว่าคนที่ขาดสติ คนที่ไม่มีปัญญา เขาจะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ แต่คนที่มีสติมีปัญญาเห็นไหม เช่นว่าศาสนานี้มันเป็นควรแก่มนุษย์เห็นไหม

มนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในการเกิดและการตาย ออกบวชเป็นพระ แต่เป็นภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เขาจะเข้าใจไม่เข้าใจมันเรื่องของเขา ความหยาบความละเอียดของหัวใจของจิตใจมันต่างกัน

ความต่างกันเกิดมาจากอำนาจวาสนาเกิดมาจากกรรม กรรมของเขาเห็นไหม กรรมทำให้เขาหูตาบอด ทั้งๆ ที่ตาสว่าง หัวใจเบิกบานหูตาสว่างกระจ่างแจ้ง แต่ใจบอด บอดเพราะอะไร บอดเพราะกิเลสตัณหามันครอบงำไว้

แต่เราเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาเห็นไหม เราได้ออกบวชเป็นภิกษุเป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยในวัฏสงสารอะไรเป็นภัย สิ่งที่เป็นภัยกิเลสตัณหาทะยานอยากในหัวใจของเราเป็นภัย ถ้าเป็นภัยเราจะต่อสู้กับภัยได้อย่างไร ป่ารกชัฏนะ นี่ป่ารกชัฏเราจะฝืน เราจะบุกป่าไปเห็นไหม พระธุดงค์ๆ ธุดงค์ไป ถูดงไปก็ทะลุดงไป ถูกับดงไปตาบอดมืดบอด ถูไป ทุดันไป ดันมันตามกิเลสตัณหาทะยานอยากความเห็นแก่ตัว ดันไปอย่างนั้น ความเห็นตนเป็นใหญ่

ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเหยียบย่ำไปไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นทะลุดงไปเห็นไหม ก็ดันทุลังจะผ่านมันไปโดยที่ไม่มีปัญญา ไม่มีการใคร่ครวญ ไม่มีการดูแล แต่ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสารเราจะมีธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราต้องเอามาตรวจสอบในความรู้สึกของเราในใจของเรา

เรามีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาจริงๆนะ โลกที่เขาไม่มีโอกาสแบบเรา เขาไม่มีโอกาสแบบเรานะ แบบอยากจะได้บุญได้กุศล อยากจะประพฤติปฏิบัติ ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ เพราะมีอาชีพ มีหน้าที่การงานของเขา กว่าเขาจะทำหน้าที่การงานของเขา ตกเย็นขึ้นมาก่อนนอนไหว้พระไหว้เจ้าแล้วได้นั่งสมาธิ ชั่วชั่วโมง ๒ ชั่วโมงตามแต่มีโอกาสนะ ของเรานี่ ๒๔ ชั่วโมง ทางของคฤหัสถ์คับแคบ ทางของภิกษุกว้างขวาง

ทางกว้างขวางของเราเห็นไหม ใช่ มนุษย์ ภิกษุ พระก็มาจากมนุษย์ พระก็มาจากคน คนก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ต้องมีบ้านมีเรือนมีที่อาศัย พระก็เหมือนกัน พระก็มาจากมนุษย์ มาจากคนมาบวชเป็นพระเห็นไหม ก็ต้องมีกุฏิวิหาร มีที่อยู่อาศัยเห็นไหม ต้องมีภิกขาจาร ต้องมีการถือธุดงค์เห็นไหม

พรุ่งนี้ไปจะอธิษฐานเข้าพรรษา เราจะตั้งสัจจะว่าเราจะต่อสู้กับกิเลสเราอย่างไร กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเหยียบย่ำหัวใจเรามา มันครอบงำใจเรามา เราถึงได้เป็นไปตามกรรม ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม แต่ยังมีหูตาสว่าง

เกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาเห็นไหม มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก เราพยายามขวนขวาย พยายามหาทางออก อุบาสกก็สามารถประพฤติปฏิบัติได้

พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ พาหิยะเป็นพระอรหันต์ เป็นฆราวาสนะ แต่ขณะที่เป็นฆราวาสเป็นพระอรหันต์เขาสร้างบุญกุศลของเขามา เรานี่เป็นฆราวาสเราก็ต้องทำมาหากิน เราก็ทางคับแคบ เราก็พยายามต่อสู้พยายามหาทางออก

แต่คนเราเกิดมาก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ก็ต้องแสวงหาเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้พอการแสวงหาแล้วมันก็เพลิดเพลินไปกับโลก หรือการแสวงหาไปก็เกิดการเบียดเสียด เสียดสีกันในสังคม มีความทุกข์ความยาก มีแต่ตัณหาความทะยานอยากมันเหยียบย่ำหัวใจ เวลาปฏิบัติมันก็ต้องทนกับแรงเสียดทานของกิเลสแล้ว ยังจะต้องพยายามให้มันสงบเข้ามาอีกเห็นไหม

เราเป็นภิกษุ เป็นผู้ที่บวชมาในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีโอกาส บิณฑบาตมาเห็นไหม ถ้าพรุ่งนี้ธุดงค์มาถึงแล้ว เวลาโยมมาก็ต้องปฏิสันถาร เราก็ต้องพูดธรรมะให้เขาฟังบ้างเป็นธรรมดา

จะบอกว่าเห็นภัยในวัฏสงสาร บิณฑบาตมาก็ต้องรีบฉันก็ต้องรีบไปสิ ทำไมต้องมานั่งเยิ่นเย้อ ความว่าเยิ่นเย้อใจเขาใจเราเห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ ฉะนั้นบริษัท ๔ ปฏิสันถารต้อนรับกันโดยความสมควร

แต่ไม่ใช่ไปคลุกคลีกับมัน ไปคลุกคลีจนไม่วิเวก เราพยายามรักษาความสงัดความวิเวกไว้ แต่มันเป็นปฏิสันถารในบริษัทของเรา เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราเห็นไหม เราเป็นผู้รับผิดชอบเราก็ต้องทำหน้าที่ เวลาบิณฑบาตมาแล้วก็ต้องแสดงธรรม เพื่อให้เขาได้ฟังธรรม ให้จิตใจได้อาหารบ้าง ได้แต่อาหารบุญกุศลเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสได้ฟังธรรมได้ปลุกเร้า ได้ปลุกปลอบหัวใจ ให้หัวใจนั้นมันเบิกบาน ให้หัวใจนั้นมีทางออกเห็นไหม

มันเป็นหน้าที่ของเรา ไม่ใช่เราอยากจะเจาะแจะ อยากจะคุยกับเขา อยากจะเสียเวลาไปกับเขา แล้วไม่เห็นหัวใจของพระ พระก็ต้องมานั่งเรียงท่องจำอาวุโส ภันเต จากอาหารเสร็จแล้วก็มานั่งหลับหูหลับตา มาทนฟังอะไรก็ไม่รู้ ฟังอะไรก็ไม่รู้ เพราะหัวใจมันเป็นกิเลส มันต้องการกินอาหารเข้าไปเยียวยามัน

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ หัวใจเรามนุษย์เขาก็มีหัวใจเหมือนกัน เขาก็ต้องการอาหารต้องการปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน แต่เขาก็ฟังธรรม บางคนฟังธรรมแล้วรื่นเริงอาจหาญ บางคนก็เบื่อหน่าย ทำไมพระเขาพูดกันอย่างนั้นไม่ฉันอาหารกันสักทีเห็นไหม ถ้ากิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจนะ มันไม่เว้นหน้าพระหรือหน้าฆราวาสหรอก มีกิเลสก็คือกิเลสมันก็เหยียบหัวใจทุกๆ ดวงนะ

แต่ถ้ามันไม่ปฏิสันถารเห็นไหม คารวะ ๖ ศาสนาจะมั่นคงได้เพราะด้วยการหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เลิกประชุมก็เลิกประชุมพร้อมกัน ฟังธรรมตามกติกา ทำหน้าที่การงานของเรา ศาสนาจะมั่นคงเห็นไหม

แล้วเราเป็นหัวหน้า เป็นหน้าที่ของเราเห็นไหม ไม่ใช่ว่าเราสั่งสอนพระนะ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนั้น แล้วหัวหน้าทำเองหมดเลย หัวหน้าทำก็เพราะหัวหน้ามีหน้าที่ ถ้าหัวหน้าไม่ทำพระจะอยู่กันอย่างไรล่ะ

โค ดูสิ...สัตว์มันยังมีหัวหน้าฝูงเห็นไหม หมูป่า หมูในป่าหัวหน้าฝูงมันคอยคุมฝูงมันว่าฝูงมันต้องไปตามนะ มันอันตรายนะ ผิดพลาดไปนายพรานเขายิงตายหมดนะ หัวหน้าที่มีประสบการณ์ของเขา เขาจะรักษาฝูงของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในสังฆะ ในสงฆ์ หัวหน้าต้องรักษา หัวหน้าต้องมีหน้าที่กระทำ หัวหน้าต้องรักษา มันมีบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีอุบาสก อุบาสิกา เข้ามายุ่งในศาสนา พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าว่า

“แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ภิกษุเราต้องมีการปฏิสันถารกับพวกแม่ออก พวกผู้หญิง ควรทำอย่างไร”

“ถ้าไม่ได้พูดได้คุยกับเขาเลยดีที่สุด”

“อ้าว เวลาเขาเข้ามาถวายทาน เขาเข้ามาต้องคลุกคลีต้องปฏิสันถารกัน มันต้องทำกิจกรรมร่วมกันจะทำอย่างไร”

“ให้ตั้งสติไว้ เวลาพูดกับเขาให้ตั้งสติไว้แล้วต้อนรับไปตามหน้าที่นั้น”

นี่ก็เหมือนกัน เรามีหน้าที่ เพราะบริษัท ๔ เราเป็นเจ้าของศาสนา ถ้าบริษัท ๔ ไม่เอื้ออำนวยไม่เอื้อเกื้อกูลต่อกันศาสนาจะเจริญได้อย่างไร ภิกษุใช่ อยู่ในป่าก็ได้ บิณฑบาตกับใครก็ได้ ได้ทั้งนั้น

แล้วฝ่ายคฤหัสถ์ของเขา เขาก็ต้องการบุญกุศลของเขา อันนี้เป็นสิทธิของเขา แต่สิทธิของเราก็มี สิทธิของเราคือในวัดในอาวาสของเรา นี่สิทธิของเราเห็นไหม

วัดเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสเป็นหัวหน้าเป็นผู้รับผิดชอบ มีอำนาจบัญชาการได้หมด ให้ไล่ออกจากวัดได้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการแต่งตั้งเจ้าอาวาสสมเด็จพระสังฆราชตั้งไว้ให้เลย ให้เป็นผู้ที่ปกป้องศาสนา ให้ดูแลศาสนา ให้เห็นภัย ให้ติเตือนในอาวาสนั้น ในสถานที่นั้น ใครผิดใครถูกจัดการได้ทั้งหมดเลย เจ้าอาวาสมีอำนาจเต็มที่!

มีอำนาจแล้วไม่ใช้อำนาจนั้น มันเป็นผู้ที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าโคนำฝูง หัวหน้าโคต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมาในวัด ในอะไรต่างๆ มันเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้า หัวหน้าต้องดูแลรักษาเห็นไหม

ฉะนั้นเวลาบิณฑบาตมาแล้วปฏิสันถาร การต้อนรับมันมีตามกาลตามเวลา ถ้าวันไหนไม่มีคนเราก็ไม่เจาะแจะกับใครเลย เราก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้ามีขึ้นมาแล้ว หัวใจของคนนะ หัวใจของคน..

หัวใจของเรา ดูสิ...คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องการยา ต้องการต่างๆ ธรรมโอสถ ถ้ามีธรรมโอสถแสดงออกไปเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้ากิเลสเต็มหัวใจพูดออกไปก็กิเลสทั้งนั้นนะ เอากิเลสกับกิเลสไปบวกกันมันไม่มีความหมายหรอก

แต่ถ้ามีธรรมแสดงออกเป็นธรรมบ้างไหม ถ้าธรรมออกมามันสะเทือนหัวใจนะ ถ้ามันสะเทือนหัวใจเห็นไหม คนที่มืดบอด คนที่มีความเจ็บช้ำน้ำใจ คนที่มีบาดแผล ธรรมโอสถมันจะเข้าไปเยียวยาบาดแผลนั้น มันจะทำให้หัวใจนั้นมีความชุ่มชื่นขึ้นมา มันเป็นโอสถ มันเป็นหน้าที่การงานที่ต้องกระทำนั้น

นี่พูดถึงในการดำรงชีวิตนะ แต่หน้าที่ของเราเห็นไหม ทุกคนก็อยากจะมีทางกว้างขวาง ทุกคนก็อยากจะพ้นจากกิเลส แต่ในเมื่อเป็นไปโดยตามกรรม สัตว์โลกจำแนกสัตว์เกิดแตกต่างกันไป เขามีหน้าที่ของเขา เขามีกรรมของเขา

เราเป็นภิกษุนะ เรามีหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรามีอันเดียว ในปัจจุบันนี้เราบวชมาในศาสนาเห็นไหม เวลาไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์บวชมาเห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตั้งแต่อนุโลมปฏิโลมเห็นไหม ตั้งแต่พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ รุกขมูลเสนาสนัง ให้เราอยู่รุกขมูลอยู่ต่างๆ

นี่ธุดงควัตร ธุดงค์เห็นไหม การอยู่ป่าอยู่เขาต่างๆ นี้มันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ขัดเกลาสิ เราไม่พอใจทั้งนั้นนะ ใครบ้างจะพอใจ ถ้าอะไรมันตามใจกิเลส กิเลสมันพอใจแต่สิ่งดีๆ งามๆ นั้น ของสวยๆ งามๆ ของดีๆ ชอบหมดล่ะ ความชอบในกิเลสเห็นไหม สุภะ - อสุภะ สุภะความดีความงามต่างๆ

อสุภะ..อสุภะถ้ามันเห็นความว่าเป็นอสุภะมันเห็นจริงตามจิตนะ ไม่ใช่อสุภะโดยดัดจริตนะ เดี๋ยวนี้มันดัดจริตอสุภะกัน โน่นก็อสุภะ นี่ก็อสุภะ มันอสุภะดัดจริต ความดัดจริตมันก็จะได้อะไรมา มันก็ได้เรื่องดัดจริตทั้งนั้นนะ ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นสุภะมันก็เป็นสุภะตามกรรม มันตามแต่อำนาจของคน พระสีวลีทำอย่างไรให้มันไม่มี มันก็มีอยู่วันยังค่ำ

ดูสิ...สุภะมันไม่มีจะทำอย่างไรมันก็ไม่มี มันเป็นไปตามจริงทั้งนั้นนะ ถ้าตามจริงตามอำนาจวาสนาของมันที่มันจะมี ถ้ามันจะมีเราใช้สอยไปตามนั้น ถ้าใช้สอยตามนั้นเห็นไหม นี่มักน้อยสันโดษ มันมีแต่ตามมีตามได้เห็นไหม

ดูเราธุดงควัตรมา ธุดงค์ข้อวัตรในป่าในเขา ธุดงค์ การไม่ถือธุดงค์เห็นไหม ภัตตามมาเขามีโอกาสเห็นไหม มันมีโอกาสถึงเวลาแล้วเขาจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขามาแล้วเขามาถวายภัตตาหารของเขา เราก็ได้ขบได้ฉันตามนั้น แต่เราถือธุดงควัตร เราไม่ต้องการพึ่งพาจากเขา เราพึ่งพาจากการบิณฑบาตของเรา ได้มากได้น้อยตามแต่อำนาจวาสนา ถ้าคุณมีอำนาจวาสนามันก็ได้ตามอำนาจวาสนาเห็นไหม

ดูหลวงปู่ชอบสิ เทวดามาใส่บาตร อย่างพวกเราถ้าต้องให้เทวดามาใส่บาตรอดตายหมดล่ะ เทวดาที่ไหนจะมาใส่บาตรพวกเรา มีแต่ขี้ในหัวใจ ใครจะมาใส่บาตรให้กิน ก็กินขี้นั่นแหละ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ เราทำตามอำนาจวาสนา เราไม่ต้องไปเทียบใคร มีอย่างใดใช้อย่างนั้น เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตด้วยลำแข้งของเราเอง ความเป็นอยู่ของเราเห็นไหม ด้วยลำแข้งของเราเอง ถ้ามันทำด้วยลำแข้งของเรา เราจะมีความมั่นคงของเรา

ถ้ามั่นคงของเราอยู่ที่ไหนก็ได้ จะไปที่ไหนก็ได้ พระเราเข้มแข็งเข้ามาจะออกธุดงค์เมื่อไหร่ก็ได้ จะไปไหนก็ได้ แต่ถ้าพระเราอ่อนแอนะ จะต้องให้เขาอุปัฏฐากอยู่ตลอดเวลา จะไปไหนก็ต้องให้เขาอุ้มไป ถ้าเขาอุ้มไปนะ ก็เป็นพระนะ เห็นภัยในวัฏสงสาร เขาเป็นฆราวาสญาติโยมเขาต้องมีเวลาของเขา เขาจะมีเวลามาอุ้มเราตลอดเวลาหรือ แล้วไม่มีเวลาจะมาอุ้มเรา เราก็ต้องยืนให้เราเข้มแข็งขึ้นมา เราเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนา อยู่ที่กาลเวลานั่งสมาธิ ๒๔ ชั่วโมง ตั้งแต่ ๓ เดือนนี้ไป ทุกวินาทีเป็นเวลาที่ประพฤติปฏิบัติได้ทั้งหมด

ญาติโยมเขามีโอกาสอย่างนี้ไหม ใครมีโอกาสอย่างนี้บ้าง เรามีอำนาจวาสนามากเราได้บวชมา ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ทุกอย่างยกเว้นให้หมดเลย การเกณฑ์ทหารถ้าล้วงใบแดงขึ้นมา ถ้าตั้งใจว่าจะอยู่เกิน ๓ ปีขึ้นไปเขายกเว้นให้หมดเลย

แต่ก่อนนั้นนะ เขาจะบัญญัติกฎหมายมาเขาต้องเปิดช่องให้กับพระ เพราะอะไร เพราะชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตัวศาสนาเป็นตัวสมาน น้ำ ดูสิ การก่อสร้างอะไรต่างๆ ถ้าไม่มีน้ำผสมปูน ไม่มีน้ำทำอะไรต่างๆ การก่อสร้างมันจะสำเร็จไปได้อย่างไร

ตัวศาสนาเห็นไหม ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาเลย กษัตริย์ก็ยังกราบไหว้ครูบาอาจารย์ ตั้งแต่กษัตริย์มาจนถึงกระฎุมพี คนทุกข์จนเข็ญใจ เขาต้องมีศาสนาในหัวใจของเขา เราเป็นตัวแทนศาสนา ศาสนาพระ เป็นตัวแทนในศาสนา แล้วในศาสนาเรามีธรรมะในหัวใจไหม ถ้าเรามีธรรมะอยู่ในหัวใจ เราจะเป็นตัวแทนศาสนาได้ด้วยความเป็นจริง เราจะเข้าใจเรื่องศาสนา

แต่ในปัจจุบันนี้เรามีความรู้จริงในเรื่องศาสนาไหม ถ้ามีความรู้จริงในเรื่องศาสนา ตอนนี้เรามีความรู้น้อยกว่าฆราวาสนะ ฆราวาสเขาศึกษามีความรู้มากกว่าเราเรื่องศาสนานะ เขาตีความศาสนาได้ดีกว่าเราทั้งนั้นเลย ดูสิ เดี๋ยวนี้ฆราวาสสอนธรรมมากมหาศาลเลย แล้วสอนธรรมมันรู้ธรรมจริงไหม ถ้ามันรู้ธรรมจริงขึ้นมา ทำไมผมบนหัวมันยังโกนไม่ได้

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าเราโกนหัวของเราขึ้นมา ผมมันยังสละไม่ได้ การเสียสละของใจ ใจที่มันเป็นธรรม แม้แต่ชีวิตนี้สละเพื่อรักษาธรรม ชีวิตนี้สละได้เลย การตายเป็นเรื่องธรรมดา การตายมันหลอกกัน สมมุติทั้งนั้น การตายไม่มีอะไร รู้ได้อย่างไรไม่มีอะไรตาย ตายไม่ตายมันอยู่ตรงไหน ตายไม่ตายเวลาจิตมันหมดอายุขัยของมัน มันออกจากร่างไป เขาว่าเป็นคนตาย คนตายแล้วจิตมันไปไหน ตายแล้วจิตมันไปตรงไหน มันขับเคลื่อนไปตามเวรกรรมของมัน ถ้ามันขับไป มันไปไหนของมัน มันรู้เห็นอย่างไร ถ้ามันมีธรรม การเกิดและการตาย มันไม่มีการเกิดการตาย กิเลสตายแล้วใจหมดแรงขับ นี่ถ้ายังมีกิเลสอยู่นะ

ปุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปเห็นข้อมูลเดิมของจิต จุตูปปาตญาณถ้ากิเลสมันมีอยู่แรงขับมันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มันต้องขับไปธรรมชาติของมัน แล้วแรงขับอันนี้ อาสวักขยญาณทำแรงขับอันนี้หมดไป แรงขับ แรงเสียดสี แรงเสียดทาน แรงขับเคลื่อนของจิตไม่มี แล้วตัวจิตมันอยู่ไหน ใครเกิดใครตาย การเกิดการตายมันเกิดตายมาจากตรงไหน

สิ่งที่ทำมาถ้าจิตมันทำนะ เรามีอำนาจวาสนา เราจะรื้อค้นตรงนี้ไง เราเป็นตัวแทนของสงฆ์ เราเป็นตัวแทนเห็นไหม นี่เห็นไหมจากสมมุติสงฆ์ แต่ถ้าใจเราเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม เราทำขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ “ให้จับผิดตัวเอง เรามาประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราทำอะไรผิดพลาดบ้าง เราคิดผิด เราทำผิด เราพูดผิด เรามีการกระทบกระเทือนต่อใครบ้าง เราได้ผิดพลาดในการกระทำของเรา ได้กระเทือนหัวใจของหมู่คณะคนใดบ้าง” เห็นไหม

ถ้าเราจับผิดใจเราได้ เราจะแก้ไขเราได้ เราจับผิดเราเอง เราแก้ไขใจเราเอง ถ้าใจเราเราดูความผิดของเรา ถ้าในความผิดในตัวเรา เราค้นอย่างไรก็ไม่เจอ ใครมันจะว่าเราผิด ใครมันจะจับผิดเราได้ ถ้าความผิดในหัวใจเรารื้อค้น เราแสวงหามัน ทำลายมันจนเราทันมัน แล้วใครมันจะจับผิดเราได้

แต่มันจับได้ด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกเลยในโลกธรรม ๘ นี้ เวลาพระเรามีแรงเสียดสีมีแรงต้านทานจากญาติโยม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมว่า “ถ้าภิกษุเราโดนแรงเสียดสีคือโดนสังคมเขาจับผิด เขาโต้แย้งให้มองเรา ให้มององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะในแรงเสียดสีแรงเสียดทานโลกธรรม ๘ ไม่มีใครโดนรุนแรงเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์นะ ดูสิ นางมาคันทิยาจ้างคนมาด่า ลัทธิต่างๆ จ้างคนมาแกล้ง จ้างคนมาทุกๆ อย่างเลย เพราะ! เพราะว่าในการเผยแผ่ศาสนา ศาสนาดั้งเดิมมันมีอยู่แล้ว พุทธศาสนาแสดงออกไปเห็นไหม

ทุกศาสนาเขาถือพระเจ้า ถือต่างๆ มีประเด็นที่เคารพบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย! ปฏิเสธหมดเลย! ไม่มี! ไม่มี เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหนก็แล้วแต่ มันเป็นวาระ มันมีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่พระอินทร์ก็ต้องหมดวาระ ทุกคนหมดวาระ เพราะว่าสรรพสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง กาลเวลาเห็นไหม อายุขัยมันมีหมดเลย

ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าเราเป็นหมดนะ สิ่งที่ว่าเคารพบูชาพระพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ให้เคารพบูชาธรรมเห็นไหม สัจจะ สัจจะความจริงเห็นไหม ไม่ให้ถือเคารพบูชาใครทั้งสิ้น ให้เคารพอริยสัจ สัจจะความจริงในหัวใจ ถ้าหัวใจมันเป็นสัจจะขึ้นมา มันรู้จริงเห็นจริงเห็นไหม แม้แต่อดีตชาติมันก็เห็นว่ามันสร้างสมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการจากพระโพธิสัตว์จนมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ แล้วถ้าไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารักษาใจของเรา เราดูแลใจของเรา เราชำระใจของเราเห็นไหม จนใจมันเป็นธรรมขึ้นมา ใจนี้มันเป็นธรรมขึ้นมามันเคารพใคร “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

ถ้าหัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมาแล้วมันจะเคารพบูชาใคร มันจะเคารพบูชาใคร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม พราหมณ์ต่างๆ จะมาต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อายุขัยน้อยว่า เป็นพราหมณ์รุ่นน้องทำไมไม่เคารพผู้ใหญ่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในโลกนี้ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า เราไม่เห็นใครเลยที่เราควรจะเคารพบูชา ไม่มีใครเลย เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมาจากอวิชชา” ไม่มีใครเลย! แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเคารพบูชาใครไม่ได้เลย นี่ไงเห็นไหม สิ่งต่างๆ พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด ลัทธิศาสนาต่างๆ เขาเคารพเขาบูชาของเขา เขามีที่พึ่งของเขา เขาไหว้วอนอ้อนวอนของเขา

ไหว้วอนมันเป็นสิ่งข้างนอก มันเป็นประเด็นอยู่ข้างนอกหัวใจเห็นไหม แต่ถ้าเราย้อนกลับมามรรคญาณ สัจจะ เรามีอำนาจวาสนานะ ตั้งแต่ภายนอกเขาดูแลอุปัฏฐากอยู่ เราเกิดมาท่ามกลางศาสนาที่เจริญ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ตอนหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านออกวิเวกนะ ไม่มีใครเห็นดีเห็นงามด้วย ท่านจะต้องต่อสู้กับสังคม ท่านจะต้องต่อสู้กับกิเลสของท่านเอง ท่านต้องใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตของท่านเลย เผยแผ่ธรรมะให้สังคมเขายอมรับเงื่อนไข ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงขึ้นมา พอเป็นจริงขึ้นมาสังคมเขายอมรับ

ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเราบวชมาในพุทธศาสนา สังคมเขายอมรับเรื่องมรรคผล เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา เขาอุปัฏฐากเรา เขาดูแลเราอย่างดีเลย ถ้าดูแลเราอย่างดี เราเป็นนักรบเห็นไหม เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งที่ตอบสนองบุญกุศลของเขา เราถึงต้องตั้งสตินะ

สิ่งใดที่ได้มาก็ได้มาจากศรัทธาของเขา เขามีความเชื่อของเขา เขาหาของเขามา เขาทูนใส่หัวมา เขาต้องอธิษฐานก่อนถวายพระ แล้วพระเราเราเป็นนักรบ เราใช้สอยปัจจัยเครื่องอาศัย เราจะเอาบุญกุศลอย่างไรตอบสนองเขา เราต้องตั้งใจของเรานะ เราต้องทำของเราให้เป็นบุญกุศล ให้เราเชื่อตัวเราเองได้

ถ้าเราเชื่อตัวเองได้นะ สติมันจะเกิดอย่างไร สติเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรามีอำนาจวาสนาอย่างไร เราจะทำสติเราให้อยู่ให้ได้ เราต้องทำสมาธิเราให้ได้ ใครจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา ความเป็นจริงนะ สันทิฏฐิโก ความรู้เฉพาะตน มันเป็นปัจจัตตังความเห็นเฉพาะหน้า

ถ้าความเห็นเฉพาะหน้า อันที่เป็นธรรมในปัจจุบัน ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางปัจจุบันธรรมเอาไว้ ปัจจุบันธรรม ธรรมนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไอ้ที่พูดออกมามันเป็นอดีตอนาคตทั้งนั้น สิ่งที่เป็นอดีตอนาคต เขาพูดออกมาเขาก็พูดผิด ไอ้เราก็หลงผิดในตัวเอง แล้วก็ยังไปฟังมาผิดๆ แล้วก็เอามาตั้งต้นผิด แล้วก็เริ่มปฏิบัติไป แล้วมันจะไปไหนล่ะ มันก็ลงทะเลนะสิ

เราไม่ต้องไปฟังใคร เราฟังเห็นไหม มีศรัทธาความเชื่อ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครเลย ไม่ให้เชื่อใครเลยมันก็ดื้อด้าน เรามีศรัทธาไง เราเปิดรับต่างๆ แต่ไม่ใช่ นั่นคือเป้าหมาย เราเปิดรับในทฤษฎีต่างๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่คำตอบ เราเปิดรับ เรามีศรัทธา คำว่าศรัทธาคือเปิดรับทั้งนั้นทางที่ก้าวเดิน แต่คำตอบไม่มี คำตอบเดี๋ยวมันจะตอบในใจนี้ ถ้าใจมันเป็นไป มันจะตอบมาในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจตอบขึ้นมาเห็นไหม นี่คือสันทิฏฐิโก มันเป็นขึ้นมาแล้วมันจะไปกลัวใคร คำว่ากลัวใครไม่กลัวใครมันต้องมีเหตุผลด้วย

ความกล้าหาญมันมีมิจฉากับมีสัมมานะ ถ้าพูดถึงความกล้าหาญที่เป็นสัมมา มันก็ทำลายเขาได้ทั้งนั้น ทุดัน มันก็ดันไปจนหมู่คณะนี้แตกหมด แต่ถ้ามันมีเหตุมีผลของมัน ความกล้าหาญที่มีเหตุมีผล มันกล้าหาญในความจริง กล้าหาญในการนั่งตลอดรุ่ง กล้าหาญในการทำความดี กล้าหาญในการมีจุดยืนว่าเราจะทำดี สังคมมันจะแรงขนาดไหนให้มันว่ามา

สังคมนะ คนโง่มากกว่าคนฉลาดมาก ในโลกนี้มันคนโง่มาก แล้วคนโง่มันติเตียนมันจะไปฟังอะไรกับคนโง่ คนฉลาดครูบาอาจารย์ท่านพูดคำเดียว สิ่งนั้นเป็นจริงหรือไม่จริงเราเอามาพิสูจน์เห็นไหม

เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีอำนาจวาสนามาก เราเห็นคุณค่าของหัวใจของคนจริงๆ คุณค่าของความรู้สึก มีเงินมีทองนะ เรามีเงินมีทองเป็นล้าน เป็นหลายๆ ล้านเก็บไว้นะ ถ้ามันหายไปหรือเราไม่รู้ เราก็ไม่มีความเสียใจกับมัน หรือมันจะมีมากมีน้อยขนาดไหน เราเก็บไว้เป็นสมบัติของเรา เราก็รับรู้เท่านั้น

แต่ถ้าจิตมันเป็นธรรมขึ้นมา จิตมันได้สัมผัสสมาธิ มันมีความดูดดื่มของมันนะ มันตื่นเต้น มันตื่นตัวขึ้นมา คนเราตื่นตัว คนเรารู้สึกตัว คนเราเจียมตัว เห็นไหมในพุทธศาสนา ในเอเชียตะวันออกของเราให้อ่อนน้อมถ่อมตน

แต่ในทางตะวันตกเขาบอกว่า อย่างนี้ทำให้คนไม่กล้าหาญ คนเราต้องก้าวร้าว เดี๋ยวนี้ถึงบอกว่ามีอีโก้ มีอะไรนะ มีไอคิว อีคิวน่ะ สิ่งต่างๆ อารมณ์ อีคิว มีสติสัมปชัญญะในทางอารมณ์ ต้องมี! ถ้าไม่มีเพราะถึงที่สุดไปแล้ว พยายามไอคิวสูงๆ พยายามแสดงออกให้เต็มที่เลย การแสดงออกจนเดี๋ยวนี้ทุนนิยมเห็นไหม สูงที่สุดแล้วกลายเป็นแชร์ลูกโซ่ มันไม่มีผลตอบแทน ก็ต้องมีผลตอบแทน เอาส่วนต่างนั้นขึ้นมา เพื่อจะเอาส่วนต่างนั้นมาอวดอ้างกัน มันเป็นไปไม่ได้ ถึงที่สุดมันเป็นไปไม่ได้หรอก ทุนนิยมเป็นไปไม่ได้เห็นไหม นี่พูดถึงทางโลกเห็นไหม

แล้วเป็นในทางธรรมของเราล่ะ คำว่าอ่อนน้อมถ่อมตน เราไปมองกันว่า คำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนคือคนงอมืองอเท้า การอ่อนน้อมถ่อมตนคือหัวใจที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมในหัวใจมันอ่อนน้อมถ่อมตนของมัน มันเห็นคุณค่าที่ว่าเรากว่าจะได้สิ่งนี้มา เราลงทุนลงแรงมาขนาดไหน แล้วเราจะเอาสิ่งนี้ เหมือนน้ำพริกจะไปละลายแม่น้ำ มันมีความหมายอะไร น้ำพริกรสมันเข้มข้นนะ ถ้ามันอยู่ในถ้วยของมัน น้ำพริกนะรสชาติเข้มข้นมากเลย ลงไปในแม่น้ำนะ มันมีแต่รสชาติของน้ำ รสชาติน้ำพริกหายไปหมดเลย

รสชาติในหัวใจของเราไง น้ำพริกในหัวใจเรา ในรูปของหัวใจมันเข้มข้น ถ้ามันเข้มข้น คนที่เขาต้องการความเข้มข้น คนที่เขารู้ธรรมของเขาเขาแสวงหา แต่คนที่ไม่แสวงหา เราจะเอาน้ำพริกนี้ไปละลายแม่น้ำ เขาจะได้อะไรขึ้นมา คนที่หัวใจเป็นธรรมเขาจะเข้าใจนะ เข้าใจว่าสิ่งนี้กว่าจะหามา รสชาติของน้ำพริก รสชาติของความเข้มข้น ทางโลกเขาไม่ต้องการ เพราะอะไร เพราะมันแสบปากแสบฟันปวดร้อนเห็นไหม

แต่ธรรมะมันต้องเข้มข้น ถ้าไม่เข้มข้นกิเลสมันครอบหัว กิเลสมันมีกำลังมากกว่า กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรานี้นะ มันเป็นอนุสัย มันอยู่มากับใจ มันเกิดมากับใจ มันอยู่กับใจไปตลอดนะ ดูพญามารสิ สถานที่ของมาร มารนะ เรามีบ้านมีเรือนเป็นที่อาศัย กิเลสนะมันมีหัวใจ มีภพ มีสถานที่ที่อาศัยของมัน

เวลากิเลสมันเกิดเห็นไหม มันเกิดขึ้นมาจากใจ แล้วเวลามันตายมันตายไปไหนล่ะ กิเลสมันตายได้ ถ้ากิเลสกับใจมันเป็นอันเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดมาไม่ได้ เขาว่ากรรมตายตัวๆ ถ้ากรรมตายตัวแล้วพระอรหันต์จะเกิดไม่ได้ กรรมเห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราต้องเชื่อตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

กรรมดีจะเข้าไปสะสางให้มันสะอาดขึ้นมา กรรมชั่วมันเข้าไปผูกไปมัดทำให้ชั่ว กรรมดีขึ้นมามันก็เข้าไปทำความสะอาดขึ้นมา ถึงที่สุดกิเลสมันต้องขาดออกไป ขาดออกไป พอขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปถึงที่สุดมันทำลายหมดนะ ทำลายหัวใจหมดจนขาวสะอาดหมดเลย

คำว่า “ขาวสะอาด” ขาวสะอาดเพราะอะไร เพราะนิพพานมันมีอยู่ สิ่งที่มันสกปรกทำให้มันสะอาดแล้ว สิ่งใดที่มันเหลืออะไรอยู่ สิ่งที่เหลือเห็นไหม คำพูดว่าว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นี้เราพูดว่าว่างได้ถึงขั้นพระอนาคามี แต่เกินกว่านั้นไปพูดได้อย่างไร พูดอะไรออกมาเป็นสมมุติทั้งหมด ถึงที่สุดแล้วที่คำพูดมันสมมุติทั้งนั้น ถึงที่สุดแล้วนิพพานพูดไม่ได้ พูดไม่ได้หรอก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ขนาดที่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พูดเรื่องนิพพานคืออะไรไง

เพียงแต่เปรียบเทียบ เวลาคนมาถามว่านิพพานคืออะไร หรือว่าเวลากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอพูดได้ พอที่จะทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจ ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเถิด ข้าพเจ้าจะรับฟังเอง” สิ่งต่างๆ เห็นไหม

แต่นี่เวลาไปพูดกันในลักษณะต่างๆ มันเป็นความเห็นของจิต ความเห็นของจินตมยปัญญา ถ้าจินตมยปัญญา คำว่าจินตมยปัญญา มันไม่เป็นความจริง! ไม่เป็นความจริงหรอก เป็นของชั่วคราวทั้งหมด มันจริงตามสมมุติ จริงตามจินตมยปัญญา ไม่เป็นตามความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงเพราะจินตมยปัญญามันเปลี่ยนแปลงไง มันเป็นอนิจจังไง มันเปลี่ยนแปลง ถึงเวลามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันก็ต้องมีนิพพานบ่อยๆ

ต้องมีนิพพานบ่อยๆ นะ มีจินตนาการบ่อยๆ มีการพูดบ่อยๆ มันก็เป็นโลกๆหมดนะ เห็นไหมไม่ให้เชื่อ กาลามสูตรไม่ให้เชื่ออะไรต่างๆ ทั้งสิ้น แต่มีศรัทธา ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราทำ

เรามีสัจจะนะ เราเป็นพระที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ในพระไตรปิฎก “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” เราเกิดมาช่วงของศาสนาที่เจริญ ถ้าเกิดมาช่วงสมัยหลวงปู่มั่นนะเจริญ แต่สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็ทุกข์ยาก เพราะสังคมยังไม่เข้าใจ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ ประวัติหลวงปู่ชอบธุดงค์ไปนะ จะมีเกลืออยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ให้ปะขาวธุดงค์ไป ไม่มีใครรับรู้ ยุ่งกับพวกเราเลย ต่างคนต่างไม่เข้าใจ

แต่เพราะครูบาอาจารย์ของเรา ชีวิตทั้งชีวิตเลยวางธรรมและวินัยอันนี้ไว้ แล้วเราเกิดตอนนี้เห็นไหม สังคมกำลังฮือฮา ฮือฮาถึงผลไง แต่คนที่ทำถึงผลมันมีใครบ้างล่ะ แล้วสังคมเขาฮือฮา แต่เราไม่ใช่สังคม เราเป็นภิกษุ เราเป็นพระ เราเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราต้องทำตามความเป็นจริง เราจะไม่ฮือฮาไปกับใคร ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือมงคลตื่นข่าวนะ!

เราเป็นพระ ต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ เราขาดจากไตรสรณคมน์ ขาดจากสามเณร สามเณรจะเป็นพระได้อย่างไร เห็นไหม

แต่โลกเขาว่ากันไปตามโลกของเขา อันนั้นมันเรื่องของโลก เรื่องของพระเราเห็นไหม เราเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาแล้ว เราต้องทำใจของเราให้เข้าสู่หลักความจริง ให้เข้าสู่หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจเรานะ เราพยายามรื้อค้นมัน ต้องพลิกแพลง

เหล็ก! เขาจะตีเหล็กเห็นไหม เขาจะต้องเผาไฟมันจนกว่ามันถึงอุณหภูมิที่มันสมควรที่เขาจะตีของเขา เหล็กเขายังตีขึ้นมาเป็นวัสดุที่เขาต้องการได้ ใจของเราก็เหมือนกัน ใจของเราดิบๆ นะ ใจของเราสมมุติทั้งนั้น ใจของเรากิเลสเต็มหัวใจเลย แล้วบอกว่ามันพิจารณา มันใช้ปัญญา เหล็กเขาตี เหล็กดิบๆ นะ เหล็กที่มันยังไม่ได้เผาไฟ ตีไปมันก็แตกหมดนะ ตีไปมันก็บู้บี้ไปตามแรงของค้อน แต่มันจะเป็นตามความพอใจไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจเข้ามา เราไม่มีตบะธรรมแผดเผามัน ตบะธรรม ตบะเห็นไหม สติปัญญาแผดเผามัน แผดเผาหัวใจของเราเห็นไหม คนจะดีได้ด้วยการกระทำ คนจะดีได้ไม่ใช่การยกย่อง คนจะดีได้ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่ตระกูล ไม่ใช่การเกิด ไม่ใช่บวชเป็นพระ!

บวชเป็นพระหัวโล้นๆ ไอ้ต๊อกมันบวช มันมีเงินมากกว่าเราอีก ไอ้ต๊อกนะ หลวงตาภาค ๑ ภาค ๒ มันทำเงินเท่าไหร่ บวชอย่างนั้น บวชโดยสมมุติใช่ไหม เราก็บวชโดยสมมุติเหมือนกัน ไม่ใช่ดีด้วยการบวช ไม่ใช่ดีด้วยการเกิด ไม่ใช่ดีด้วยการเป็นพระ มันดีที่การกระทำ เราต้องทำดีของเรานะ ใครจะติใครจะชมนั่นมันปากของเขา คนโง่ คนฉลาด คนโง่มากมันพูดขนาดไหนก็เรื่องของมันนะ ไอ้คนฉลาดครูบาอาจารย์ของเราติคำเดียวก็เป็นประโยชน์

ความเป็นประโยชน์อันนี้ ธรรมวินัยเราศึกษาขึ้นไปแล้ว ธรรมวินัยเวลาพระไตรปิฎกเห็นไหม พระไตรปิฎกพูดไว้ว่าอย่างไร อย่าตะแบง อย่าเอาใจนี้เข้าไปบิดว่าอันนี้ไม่ใช่ อันนี้อรชุนมันแต่งขึ้นมา มันเป็นพระไตรปิฎกเห็นไหม สื่อความหมายนี้สื่ออย่างไรก็ได้ แต่เราตีความของเราอย่างไร

ถ้าเราตีความ ตบะธรรมเผามันเข้ามา เผาใจเข้ามา “เอ็งมีความรู้อย่างไร เอ็งมีความเห็นอย่างไร” นี่มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้วนะ เอ็งปฏิบัติ มันไม่ใช่พอเป็นพระขึ้นมา เราเป็นพระเรามีสิทธิเห็นไหม เป็นพระขึ้นมาเป็นไหม ประชาชนเขาศรัทธา

ดูสิ ฉันเป็นพระนะ ฉันเป็นพระต้องอุปัฏฐากฉันนะ ต้องเชื่อฟังฉันนะ ทำไมต้องเชื่อ! เขาเป็นหนี้อะไรต้องไปเชื่อเรา เชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าความจริงของเรา เราทำความจริงของเรา ความจริงของเราเราทำให้ปรากฏ มันเป็นเชิงประจักษ์ที่ความจริงมันเกิดขึ้นมา

ความจริงเกิดขึ้นมา ความจริงคือความจริง คนมีหูมีตานะ คนทุกคนปรารถนาหาความจริง ถ้าความจริงเราค้นหาความผิดของเรา เราก็อยากได้ความจริงเหมือนกัน แล้วถ้าความจริงของเรา ถ้ามันไม่จริง แล้วความจริงของเรามันจะเสื่อมเมื่อไหร่? ความจริงของเรามันจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่?

แม้แต่ความจริงของเรา เรายังไม่ไว้ใจเราเลย แล้วเราจะให้ประชาชนให้ญาติโยมเขามาไว้ใจเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไร ความจริงของเราเราต้องตรวจสอบ เราต้องแผดเผามัน เราต้องพิสูจน์มัน ความจริงอันนี้มันจริงแค่ไหน ถ้ามันจริงแล้ว มันจริงตามความเห็นของเราเห็นไหม ความจริงนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ความจริงมันลอยมาจากฟ้าเหรอ?

ความจริงมันก็เกิดจากการกระทำใช่ไหม? เรานั่งสมาธิอย่างไร? เรากำหนดอย่างไร? เราใช้ปัญญาอย่างไร? มันจะแก้ไขอย่างไร? ความจริงมันต้องมีที่มาสิ! ความจริงไม่ลอยมาจากฟ้า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน ไม่ใช่ศาสนาขอเอา ไม่ใช่ศาสนาที่มันหล่นลงมาจากฟ้า

สิ่งที่เป็นความจริงกับเรา มันต้องเกิดขึ้นจากการกระทำ มันต้องเกิดขึ้นจากความเป็นจริง แล้วเกิดจากการกระทำสิ่งนั้นมันไม่เป็นความจริงขึ้นมา มันทำแต่เป็นสัญญาอารมณ์ มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร ก็ความจริงชั่วคราว ความจริงที่เขาเชื่อของเขา แต่ถ้าความจริงของเรา เราต้องหาของเราขึ้นมา

นี่เรามีอำนาจวาสนาจริงๆ นะ เรามีอำนาจวาสนามาก ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา ชีวิตหนึ่งๆ เขาเกิดขึ้นมาเห็นไหม ดูสิคนทำงานถึงเกษียณไป แก่เฒ่าชราก็ต้องตายไปเป็นธรรมดา เราบวชเป็นพระนะ เราก็ต้องแก่เฒ่าไป เราต้องตายไปเหมือนกัน ใช้ชีวิตเหมือนกัน แต่ชีวิตหนึ่งเขาใช้ไปในทางโลก เขาใช้กันไปเพื่อหาผลประโยชน์ หาสิ่งต่างๆ เพื่อบำรุงบำเรอเขาในชาตินี้

เราเป็นพระเป็นเจ้า เราพยายามหาสมบัติ หาธรรมวินัย ขึ้นมาชำระล้างกิเลสของเรา ใช้ชีวิตเหมือนกัน แต่ใช้ชีวิตเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ใช้ชีวิตมาเพื่อทำให้หัวใจมันผ่องแผ้ว ทำให้ปฏิสนธิจิตตัวที่จะไปเกิดไปตาย ขณะที่ปฏิสนธิจิตเราทำความสะอาดของเรามากขึ้นเห็นไหม เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีเห็นไหม การเกิดมันหดสั้นเข้ามา

โสดาบัน ๗ ชาติ ขณะที่เกิดตายไป ถ้าไม่ตายเป็นโสดาบันก็ชำระล้างไป เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี อนาคามีนี้ไม่เกิดในกามภพแล้วนะ ถ้าเกิดก็เกิดเป็นพรหม ถ้าสิ้นไปแล้วเกิดอย่างไร? ไม่เกิดอย่างไร? อะไรเป็นตัวฐานของตัวเกิดและตัวไม่เกิด? อะไรเป็นเหตุเป็นผล?

ถ้ามันไม่แจ้งนะ ศาสนามันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร? ศาสนานี้มันจะเป็นความรู้แจ้ง เพราะศาสนานี้ตอบสนองการเกิดและการตาย ตอบสนองถึงการมาของชีวิต แล้วการสิ้นไปของกิเลสที่มีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย แล้วเวลามันตาย คืนสู่สภาพเดิมของเขา มันไม่ตายตั้งแต่สิ้นกิเลสเห็นไหม มันตอบสนองตั้งแต่การเกิด แล้วกิเลสตายไป แล้วถึงละขันธ์ถึงที่สุดไป ไม่มีตายแต่กลับสู่สถานะความจริงของเขา

แต่ของเราถ้ามันไม่จริงนะ เวลาจะเกิดก็ไม่รู้มาจากไหน เวลาจะตายก็ดิ้นรนทุรนทุราย ไม่อยากตาย ไม่อยากเป็น ไม่อยากไป วิตกกังวลว่าตายแล้วจะไปไหน? ตายแล้วจะมีความทุกข์ขนาดไหน? จะได้อะไรมา ไม่ได้อะไรมา ทุกข์ร้อนไปหมดเลยเห็นไหม

ธรรมะตอบสนองได้หมด เราเป็นพระนะ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เห็นไหมชาติ ศาสนา เราเป็นตัวแทนของศาสนา ตัวศาสนาคือธรรม สัจธรรม ถ้าสัจธรรมเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงในหัวใจของเรา มีอำนาจวาสนาแล้ว ทำให้เป็นจริงขึ้นมา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้บวชเป็นพระ เป็นนักรบ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะต้องเข้าถึงธงชัยของเรา คือสิ้นกิเลสของเราในชาตินี้ เอวัง